แสงแห่งศิลป์ไม่เคยดับ เมื่อพระราชหฤทัยของ “แม่แห่งแผ่นดิน” ทรงจุดประกายให้โขนไทยหวนคืนชีวิตจากถ้อยคำสั้น ๆ “ถ้าไม่มีใครดู แม่จะดูเอง” กลายเป็นลมหายใจของศิลปะที่เคยโรยราพระมหากรุณาธิคุณแผ่ซ่านถึงทุกหัวใจของศิลปิน ผู้ก้มกราบด้วยความกตัญญูโขนพระราชทานจึงมิใช่เพียงการแสดง แต่คือบทกวีแห่งความรัก ความศรัทธา และความทรงจำของแผ่นดิน
แสงแห่งศิลป์ที่แม่จุด ยังลุกสว่างในใจลูกไม่รู้ดับ
“โขน” คือศิลปะแห่งความงามและความสง่างามของสยาม การแสดงที่หลอมรวม วรรณศิลป์ วิจิตรศิลป์ ดุริยางคศิลป์ และนาฏศิลป์ เข้าด้วยกันอย่างประณีตดั่งร่ายรำแห่งจิตวิญญาณ โขนจึงไม่เพียงเป็นมหรสพ หากแต่เป็น มรดกแห่งความคิดและศิลป์ ที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นตราบจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ” จากยูเนสโก
แต่แล้วกาลเวลาก็เหมือนคลื่นที่กัดเซาะฝั่งศิลป์ ยามโลกเปลี่ยน ศิลปะก็ถูกลืม “โขนไทย” เคยรุ่งเรืองถึงขั้นเป็นหน้าตาของแผ่นดิน กลับร่วงโรยหลังยุคสงคราม ครูโขนเก่าล้มหาย โรงเรียนนาฏศิลป์ร้างผู้คน หน้ากากและเครื่องแต่งกายงดงามถูกปล่อยให้ฝุ่นจับ… จนกระทั่งพระสุรเสียงหนึ่งปลุกชีวิตให้แผ่นดินทั้งผืนตื่นขึ้น
.
“ถ้าไม่มีใครดู…แม่จะดูเอง”
พระราชเสาวนีย์ของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ไม่เพียงเป็นถ้อยคำ แต่คือ พระมหากรุณาธิคุณที่ส่องไฟในใจของศิลปินทั่วประเทศ ให้ลุกขึ้นมาสืบสานสิ่งงดงามที่กำลังจะสูญไป
ครั้งนั้น กรมศิลปากรจัดแสดงโขนถวาย ณ จังหวัดหนองคาย ในตอน “นิ้วเพชร” และ “พระรามรบทศกัณฐ์” พระองค์ทอดพระเนตรแล้วตรัสชมเชย พร้อมพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้จัดทำเครื่องแต่งกายใหม่ พระราชดำริที่ว่า “เครื่องโขนต้องงามดั่งศิลปะ ไม่ใช่เพียงเครื่องแต่งกาย” กลายเป็นรากฐานให้โขนกลับมางดงามดังเดิม
.
จากวันนั้นจึงถือกำเนิด “โขนพระราชทาน” ภายใต้มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ โขนที่ไม่เพียงเป็นการแสดง แต่เป็น ความภาคภูมิใจของชาติ โขนที่รวมใจคนไทยทุกวัย ทั้งครูเก่า ศิลปินใหม่ และเยาวชนที่สมัครเข้ามาร่วมสืบสานอย่างไม่ขาดสาย
รัจนา พวงประยงค์ หรือ “ครูเล็ก” ศิลปินแห่งชาติ เคยเอ่ยด้วยหัวใจว่า
“ถ้าไม่มีพระองค์ท่าน โขนคงสูญ… ไม่มีใครเรียน ไม่มีใครแสดง โรงเรียนนาฏศิลป์คงเหลือแค่ชื่อ”
แต่เพราะพระองค์ทรงรับสั่งว่า
“อย่าให้โขนสูญนะ… อย่าให้ละครสูญนะ”
คำสั้น ๆ นี้ กลับกลายเป็น ประกาศิตแห่งศิลป์ ที่ปลุกโขนให้หวนคืนบนเวทีแผ่นดิน
และในปีนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริให้จัดการแสดง “โขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ” ต่อไป เพื่อ น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงตอน “สัตยาพาลี” ว่าด้วยการเสียสัตย์ของพาลี เรื่องแห่งกตัญญู ความซื่อสัตย์ และความสามัคคี ได้รับการตีความใหม่ให้ร่วมสมัย แต่ยังคงกลิ่นอายแห่งความศักดิ์สิทธิ์ดั่งเดิม
.
ศุภชัย จันทร์สุวรรณ์ ศิลปินแห่งชาติ ผู้กำกับการแสดง กล่าวว่า“โขนครั้งนี้คือการหลอมรวมดวงใจของชาวโขนทั้งแผ่นดิน เพื่อถวายอาลัยและรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ที่ทรงชุบชีวิตศิลปะแห่งนี้ให้กลับมามีลมหายใจ”มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ จะเปิดการแสดงระหว่างวันที่ 6 พฤศจิกายน – 8 ธันวาคม 2568 ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
โดยในวันที่ 2 พฤศจิกายน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรรอบปฐมฤกษ์ พระมหากรุณาธิคุณครั้งนี้จึงเปรียบเสมือน แสงแห่งศิลป์ ที่ต่อเนื่องจากพระมารดา สู่พระราชบุตร สืบสายเลือดแห่งศิลปวัฒนธรรมไทยให้ไม่สิ้นแผ่นดิน
ที่มา NBT Connext
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1289106973251637&set=a.301244428704568