จากสถิติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในช่วง 9 เดือน (ม.ค.- ก.ย. 2565) ปีที่ผ่านมา ซึ่งมียอดโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุน 1,247 โครงการ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 8% คิดเป็นมูลค่ารวม 439,090 ล้านบาท ลดลง 14% เนื่องจาก ปี 2564 มีโครงการขนาดใหญ่ในกิจการผลิตพลังงานไฟฟ้ายื่นขอรับการส่งเสริมหลายโครงการ มูลค่ารวมกว่า
1.5 แสนล้านบาท แต่ในจำนวนนี้เมื่อพิจารณาเฉพาะคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายนั้น
พื้นที่ประเทศไทยยังถือเป็นพื้นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติ เพราะภาคการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) มีมูลค่า 275,624 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนจากจีนมากที่สุด 45,024 ล้านบาท รองมาคือ ไต้หวัน 39,256 ล้านบาท และญี่ปุ่น 37,591 ล้านบาท โดยการลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร รวมทั้งปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์
จากยอดเม็ดเงินส่งเสริมการลงทุน และยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุน 5 ปี (ปี 2566-2570) ที่มีเป้าหมายปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไปสู่ "เศรษฐกิจใหม่" ที่ยังคงอัดแน่นสิทธิประโยชน์ทั้งด้านภาษี และไม่ใช่ภาษี การบริการแบบครบวงจรทั้งก่อนและหลังการลงทุน การสร้างระบบนิเวศ และปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการลงทุน เพื่อเตรียมรับห่วงโซ่อุปทาน และการย้ายฐานการผลิตครั้งใหญ่ และไทยอาจมีโอกาสเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาคได้ 5 ด้านใหญ่ ๆ อาทิ Tech Hub, BCG Hub, Talent Hub, Logistics & Business Hub และ Creative Hub
โดยเมื่อตรวจสอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ ภาพรวมแบ่งได้ตามนี้ คือ มาตรการภาษี ที่พร้อมสนับสนุนนักลงทุน อาทิ
ส่วนสิทธิประโยชน์ที่ไม่เกี่ยวกับภาษี ก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน มีข้อมูลดังนี้
เห็นข้อมูลสิทธิพิเศษเหล่านี้ นักลงทุนต่างชาติสามารถติดต่อขอข้อมูล และยื่นคำขอส่งเสริมการลงทุนได้ที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนทั้งในส่วนกลาง (กทม.) - ภูมิภาค หรือสำนักงานในต่างประเทศ หรือดำเนินการผ่านทางช่องทางออนไลน์ได้ที่ www.boi.go.th หรือสอบถามข้อมูลก่อนได้ที่ อีเมล : head@boi.go.th เพื่อไม่พลาดรับสิทธิพิเศษทางการลงทุนในไทยสร้างกิจการให้เติบโตมั่นคงต่อไป
ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 555
เบอร์โทรศัพท์ : 02-553-8111