จากภาวะการลงทุนในพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี เมื่อไตรมาส 3 ของปีที่ผ่าน (ปี 2565) ซึ่งพบว่า มีมูลค่าการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในอีอีซีในรอบ 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) สูงกว่า 1.8 แสนล้านบาท คิดเป็น 52% ของการออกบัตรฯ ทั้งประเทศ โดยกลุ่มธุรกิจยอดนิยมอยู่ในกลุ่ม First S-Curve ประกอบด้วย อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ถึง 52% โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม EV มีสัดส่วนการลงทุนสูงถึง 32%, รองมาเป็นกลุ่ม New S-Curve ประกอบด้วยอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิทัล และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรในสัดส่วน 29% และกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น 19%
โดยเมื่อพิจารณาด้านมูลค่าการลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน มีมูลค่าสูงถึง 65,133 ล้านบาท รองมาเป็นอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ มีมูลค่า 34,719 ล้านบาท และเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มีมูลค่า 20,128 ล้านบาท ซึ่งพื้นที่จังหวัดระยอง ยังครองแชมป์เป็นฐานการลงทุนยอดนิยม รองมาคือจังหวัดชลบุรี และจังหวัดฉะเชิงเทรา ตามลำดับ
จากข้อมูลนี้อาจเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาและตัดสินใจของกลุ่มนักลงทุนโดยเฉพาะชาวต่างชาติที่กำลังมองหาพื้นที่การลงทุนใหม่ ข้อสำคัญปีนี้รัฐบาลยังเดินหน้าสานต่อภาคการลงทุนใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ โดยเฉพาะในอีอีซี ปีนี้ยังเร่งผลักดันแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค ปี 2566-2570 ที่มีเม็ดเงินลงทุนกว่า 337,797.07 ล้านบาท ใน 77 โครงการ เพื่อยกระดับการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานสู่ระบบราง ระบบขนส่งสาธารณะ และระบบโลจิสติกส์ เชื่อมต่อพื้นที่สําคัญทางเศรษฐกิจใหม่ที่จะเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนในพื้นที่มีโอกาสเติบโตในธุรกิจต่อไป
ที่มา : บริษัท ไพร์ม เอสเตท จำกัด
เบอร์โทรศัพท์ : 063 663 6663